ข้ามไปเนื้อหา

ผู้นำสหภาพโซเวียต

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ผู้นำสหภาพโซเวียต
Список руководителей СССР
มีฮาอิล กอร์บาชอฟ
(ผู้นำคนสุดท้าย)
จวนพระราชวังเครมลิน, เครมลินแห่งมอสโก, กรุงมอสโก
ผู้แต่งตั้งโดยการสนับสนุนในโปลิตบูโร คณะกรรมการกลางหรือสำนักเลขาธิการของคณะกรรมการกลาง
สถาปนา30 ธันวาคม ค.ศ. 1922
คนแรกวลาดิมีร์ เลนิน (นายกรัฐมนตรี)
คนสุดท้ายมีฮาอิล กอร์บาชอฟ (ประธานาธิบดี)
ยกเลิก25 ธันวาคม ค.ศ. 1991 (สิ้นสุดพรรคคอมมิวนิสต์)
26 ธันวาคม ค.ศ. 1991 (การล่มสลายของสหภาพโซเวียต)

ภายใต้รัฐธรรมนูญปี ค.ศ. 1977 ของสหภาพสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียต (สหภาพโซเวียต) ประธานสภารัฐมนตรีเป็นหัวหน้ารัฐบาล[1] และประธานคณะผู้บริหารสูงสุดแห่งสภาโซเวียตสูงสุดเป็นประมุขแห่งรัฐ[2] ซึ่งประธานสภารัฐมนตรีนั้นเทียบเท่ากับนายกรัฐมนตรีในโลกที่หนึ่ง[1] ในขณะที่ประธานคณะผู้บริหารสูงสุดแห่งสภาโซเวียตสูงสุดเทียบเท่าประธานาธิบดี[2] ในประวัติศาสตร์เจ็ดสิบปีของสหภาพโซเวียตไม่มีผู้นำอย่างเป็นทางการในรัฐบาลสหภาพโซเวียต แต่ผู้นำโซเวียตมักจะนำประเทศผ่านตำแหน่งประธานสภารัฐมนตรีหรือเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียต (CPSU) ในอุดมการณ์ของวลาดิมีร์ เลนินประมุขแห่งรัฐโซเวียตเป็นแกนหลักของพรรคคอมมิวนิสต์

ในยุคสตาลินในปี ค.ศ. 1920 ได้มีการจัดตั้งตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์แห่งมวลสหภาพซึ่งมีอำนาจเหมือนกับตำแหน่งผู้นำของสหภาพโซเวียต[3] เพราะตำแหน่งนั้นได้ควบคุมทั้ง CPSU และรัฐบาลของสหภาพโซเวียต[4] ตำแหน่งเลขาธิการถูกยกเลิกภายในปี ค.ศ. 1952 และต่อมาได้จัดตั้งขึ้นใหม่โดยนิกิตา ครุสชอฟ ภายใต้ชื่อเลขานุการลำดับที่หนึ่งคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียต; ในปี ค.ศ. 1966 เลโอนิด เบรจเนฟ ได้ใช้ชื่อตำแหน่งใหม่ว่า เลขาธิการคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียต[5] เลขาธิการเหมือนกับตำแหน่งผู้นำของสหภาพโซเวียตจนกระทั่ง ค.ศ. 1990[6]ตำแหน่งเลขาธิการขาดแนวทางที่ชัดเจนของความสำเร็จดังนั้นหลังจากการตายหรือถูกกำจัดของผู้นำโซเวียตคนก่อนมักจะทายาทมักจะต้องการการสนับสนุนของโปลิตบูโร คณะกรรมการกลาง อีกทั้งต้องใช้เวลาและการมีอำนาจในพรรค ในมีนาคม ค.ศ. 1990 ก็ถูกแทนที่ด้วยตำแหน่งประธานาธิบดีสหภาพโซเวียต [7]

หลังการแต่งตั้งประธานาธิบดี ผู้แทนของสภาผู้แทนราษฎรของประชาชนได้ลงมติให้ลบมาตรา 6 จากรัฐธรรมนูญของสหภาพโซเวียตที่ระบุว่าสหภาพโซเวียตเป็นรัฐหนึ่งของบุคคลที่ควบคุมโดยพรรคคอมมิวนิสต์ซึ่งในการเปิดให้ประชาชนมีบทบาทนำในสังคม มากขึ้นทำอำนาจพรรคคอมมิวนิสต์อ่อนแอลงและประชาชนเริ่มมีอำนาจมากขึ้น[8] เมื่อประธานาธิบดีหรือรองประธานาธิบดีตาย,ลาออกหรือถอดถอนออกจากของสหภาพโซเวียตจะถือว่ายังมีอำนาจอยู่จนถึงการแต่งตั้งหรือตั้งเลือก แต่ก็ไม่ได้มีทดสอบเพราะสหภาพโซเวียตได้ล่มสลายก่อน[9] หลังจากล้มเหลวในการรัฐประหารสิงหาคม รองประธานาธิบดีก็ถูกแทนที่ด้วยการเลือกตั้งจากสมาชิกสภาของสหภาพโซเวียต[10]

รายชื่อผู้นำ

[แก้]

รายชื่อต่อไปนี้เป็นเพียงบุคคลเหล่าที่มีความสามารถในการรวบรวมการสนับสนุนที่เพียงพอจากพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียต (CPSU) และ รัฐบาลนำไปการเป็นสู่ผู้นำสหภาพโซเวียต †หมายถึงผู้นำที่เสียชีวิตขณะดำรงตำแหน่ง

ชื่อ
(เกิด–เสียชีวิต)
ภาพ ดำรงตำแหน่ง ส่วนร่วมการประชุม หมายเหตุ
วลาดีมีร์ เลนิน
(ค.ศ. 1870–1924)[11]
30 ธันวาคม 1922[11]

21 มกราคม ค.ศ. 1924†[12]
การประชุมครั้งที่ 11-12 ดำรงตำแหน่งประธานสภาประชาชนแห่งสหภาพโซเวียตและเป็นผู้นำของพรรค บอลเชวิคตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง[11] เป็นผู้นำของรัสเซียสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียต (RSFSR) ตั้งแต่ ค.ศ. 1917 และเป็นผู้นำของสหภาพสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียต (สหภาพโซเวียต) ตั้งแต่ ค.ศ. 1922 จนกระทั่งเสียชีวิต
โจเซฟ สตาลิน
(ค.ศ. 1878–1953)[12]
21 มกราคม ค.ศ. 1924[12]

5 มีนาคม ค.ศ. 1953†[13]
การประชุมครั้งที่ 13-19 ดำรงตำแหน่งเลขาธิการประธานสถาคอมมิสซาร์ประชาชนจาก 3 เมษายน ค.ศ. 1922 จนถึงปี ค.ศ. 1934 เมื่อเขาลาออกจากตำแหน่ง และตำแหน่งยกเลิกในเดือนตุลาคมปี ค.ศ. 1952 [14]สตาลินดำรงตำแหน่งประธานสภารัฐมนตรีแห่งสหภาพโซเวียตจาก 6 พฤษภาคม ค.ศ. 1941 จนกระทั่งเขาเสียชีวิตที่ 5 มีนาคม ค.ศ. 1953 [13] นอกจากนี้เขายังดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมจาก 19 กรกฎาคม ค.ศ. 1941 ถึงวันที่ 3 มีนาคม ค.ศ. 1947 และประธานคณะกรรมการป้องกันรัฐในช่วงมหาสงครามรักชาติ และกลายเป็นเจ้าหน้าที่เท่านั้นที่จะดำรงตำแหน่งของประชาชนพลาธิการของเชื้อชาติ ค.ศ. 1921-1923. [15]
เกออร์กี มาเลนคอฟ
(ค.ศ. 1902–1988)[16]
A man in a shirt with dark, curly hair 5 มีนาคม ค.ศ. 1953[16][17]

8 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1955[18]
การประชุมครั้งที่ 19 ประสบความสำเร็จในการก้าวขึ้นมามีอำนาจหลังยุคสตาลิน แต่ถูกบังคับให้ลาออกจากตำแหน่งที่ภายในเดือนไม่กี่เดือน[19] มาเลนคอฟ ดำรงตำแหน่งประธานสภารัฐมนตรีแห่งสหภาพโซเวียตซึ่งต้องสู้กับอำนาจของครุสชอฟ[20]
นีกีตา ครุชชอฟ
(ค.ศ. 1894–1971)[21]
An elderly bald man in a suit, with several medals pinned on it 8 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1955[21]

14 ตุลาคม ค.ศ. 1964[22]
การประชุมครั้งที่ 20-21 ทำหน้าที่เป็นเลขานุการของคณะกรรมการกลางของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียต (ตั้งแต่เดือนกันยายน ค.ศ. 1953) และประธานสภารัฐมนตรีจาก 27 มีนาคม ค.ศ. 1958 เพื่อให้วันที่ 14 ตุลาคม ค.ศ. 1964 ในขณะที่พักผ่อนหย่อนใจในอับคาเซีย, ครุชชอฟ ถูกตัวกลับมาเรียกโดย เลโอนิด เบรจเนฟ และได้ถูกไต่สวนในวันที่ 13 ตุลาคม ค.ศ. 1964 ในข้อหาสนับสนุน "กลุ่มต่อต้านพรรค"เขาถูกไล่ออกและหมดอำนาจลง.[23]
เลโอนิด เบรจเนฟ
(ค.ศ. 1906–1982)[22]
A man with dark, wavy hair in a suit, applauding 14 ตุลาคม ค.ศ. 1964[22]

10 พฤศจิกายน ค.ศ. 1982†[24]
การประชุมครั้งที่ 23-26 ทำหน้าที่เป็นเลขานุการของคณะกรรมการกลางของพรรคคอมมิวนิสต์[25]และอำนาจร่วมกับเท่าเทียมกับประธานสภารัฐมนตรีอะเลคเซย์ โคซีกิน

จนถึงช่วงคริสต์ทศวรรษ 1970 ก่อนจะรวมอำนาจไว้.[26]

ยูรี อันโดรปอฟ
(ค.ศ. 1914–1984)[27]
12 พฤศจิกายน 1982[27]

9 กุมภาพันธ์ 1984†[28]
ทำหน้าที่เป็นเลขาธิการคณะกรรมการกลางของพรรคคอมมิวนิสต์[29] .และประธานคณะผู้บริหารสูงสุดแห่งสภาโซเวียตสูงสุดแห่งสหภาพโซเวียตจาก 16 มิถุนายน ค.ศ. 1983 จนถึงวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 1984[30]
คอนสตันติน เชียร์เนนโค
(ค.ศ. 1911–1985)[31]
13 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1984[31]

10 มีนาคม ค.ศ. 1985†[25]
ทำหน้าที่เป็นเลขาธิการคณะกรรมการกลางของพรรคคอมมิวนิสต์[32] และประธานคณะผู้บริหารสูงสุดแห่งสภาโซเวียตสูงสุดแห่งสหภาพโซเวียตจาก 11 เมษายน ค.ศ. 1984 to 10 มีนาคม ค.ศ. 1985.[33]
มีฮาอิล กอร์บาชอฟ
(ค.ศ. 1931–2022)[34]
A man in a grey suit, white shirt and dark tie, he has a birthmark on his forehead 11 มีนาคม ค.ศ. 1985[25]

19 สิงหาคม ค.ศ. 1991[35]


21 สิงหาคม ค.ศ. 1991[25]

25 ธันวาคม ค.ศ. 1991[35]

การประชุมครั้งที่ 27-28 ทำหน้าที่เป็นเลขาธิการ 11 มีนาคม ค.ศ. 1985 [33]และลาออกเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม ค.ศ. 1991,[36]ประธานของคณะกรรมการบริหารของศาลฎีกาโซเวียตตั้งแต่ 1 ตุลาคม[32] 1988 จนกระทั่งสำนักงานถูกเปลี่ยนชื่อเป็นประธานศาลฎีกาโซเวียตใน 25 พฤษภาคม ค.ศ. 1989 ไป 15 มีนาคม ค.ศ. 1990[33] และประธานาธิบดีสหภาพโซเวียตจาก 15 มีนาคม ค.ศ. 1990[37]ถึง 25 ธันวาคม ค.ศ. 1991[38] วันหลังจากการลาออก กอร์บาชอฟ ตำแหน่งประธานสหภาพโซเวียตยุติลงไปอย่างเป็นทางการ[35]
เกนนาดี ยานาเยฟ
(ค.ศ. 1937–2010)
(ผู้ยึดอำนาจ)
19 สิงหาคม ค.ศ. 1991

21 สิงหาคม ค.ศ. 1991
เขาเข้ามากุมอำนาจในช่วงความพยายามรัฐประหารปี ค.ศ. 1991 และเป็นหัวหน้าคณะกรรมการสถานการณ์ฉุกเฉินแห่งรัฐ.

รายชื่อทรอยก้า

[แก้]

ทรอยก้า คือชื่อเรียกกลุ่มอำนาจร่วมซึ่งมีเกิดขึ้นทั้งหมด 3 ครั้ง ครั้งแรกคือหลังการเสียชีวิตของเลนิน ครั้งสองคือหลังการเสียชีวิตของสตาลิน และครั้งสุดท้ายหลังการหมดอำนาจของครุชชอฟ[39]การปกครองสหภาพโซเวียตแบบไม่มีผู้นำคนเดียวแต่เป็นการกระจายอำนาจจากการที่คนในกลุ่มนั้นมีอำนาจพอ ๆ กัน[26][17]

สมาชิก
(เกิด–เสียชีวิต)
ดำรงตำแหน่ง หมายเหตุ
A man in a dark suit, light shirt and light tie, holding a paper and looking straight to the camera A man in a dark suit, light shirt and a tie, looking right "at you"
พฤษภาคม 1922[40]

1925[41]
เมื่อวลาดีมีร์ เลนินเริ่มมีสุขภาพไม่ดี ทรอยก้าก็ก่อตั้งขึ้นประกอบด้วยลฟ คาเมเนฟ โจเซฟ สตาลินและ กรีโกรี ซีนอฟเยฟ ทรอยก้าทลายลงไปเมื่อ คาเมเนฟ และ ซีนอฟเยฟ ตัดสินใจเข้าร่วมฝ่ายเลออน ทรอตสกี..[41] ต่อมา คาเมเนฟ, ซีนอฟเยฟ และทรอตสกี ถูกฆ่าตายจากคำสั่งกวาดล้างของสตาลิน
เลฟ คาเมเนฟ
(1883–1936)[42]
โจเซฟ สตาลิน
(1878–1953)[12]
กรีโกรี ซีโนเวียฟ
(1883–1936)[43]
A man in a shirt with dark, curly hair A man in a dark suit, light shirt and dark tie, smiling
13 มีนาคม 1953[17]

26 มิถุนายน 1953[44]
ในทรอยก้าประกอบด้วยลัฟเรนตีย์ เบรียาเกออร์กี มาเลนคอฟและ วยาเชสลาฟ โมโลตอฟ[45] และสิ้นสุดลงเมื่อ โมโลตอฟ และมาเลนคอฟทรยศ เข้าร่วมกับฝ่าย นีกีตา ครุชชอฟ และได้จับกุม เบรียาและถูกฆ่าตายในเวลาต่อมา.[21]
ลัฟเรนตีย์ เบรียา
(1899–1953)[17]
เกออร์กี มาเลนคอฟ
(1902–1988)[17]
วยาเชสลาฟ โมโลตอฟ
(1890–1986)[17]
A man with greying hair, in military uniform with five medals =A man in a dark suit, seated, in discussion with someone to his left
14 ตุลาคม 1964[22]

16 มิถุนายน 1977[26]
ประกอบด้วยสมาชิกชั้นนำของกลุ่มผู้นำและประกอบด้วย เลโอนิด เบรจเนฟ เป็นเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์อะเลคเซย์ โคซีกิน เป็นนายกรัฐมนตรีและอะนัสตัส มีโคยัน เป็นประธานของคณะกรรมการบริหารของศาลฎีกาโซเวียต หลังจากนั้นนีโคไล ปอดกอร์นืยประธานคณะผู้บริหารสูงสุดแห่งสภาโซเวียตสูงสุด ได้ขึ้นมามีอำนาจแทน อะนัสตัส มีโคยัน ในช่วงการควบรวมกิจการอย่างค่อยเป็นค่อยไป และสลายไปเมื่อปอดกอร์นืยลงจากตำแหน่งในปี ค.ศ. 1977 ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหาร[26]
เลโอนิด เบรจเนฟ
(1906–1982)[22]
อะเลคเซย์ โคซีกิน
(1904–1980)[22]
นีโคไล ปอดกอร์นืย
(1903–1983)[22]

ดูเพิ่ม

[แก้]

อ้างอิง

[แก้]
  1. 1.0 1.1 Armstrong 1986, p. 169.
  2. 2.0 2.1 Armstrong 1986, p. 165.
  3. Armstrong 1986, p. 93.
  4. Armstrong 1986, p. 98.
  5. Ginsburgs, Ajani & van den Berg 1989, p. 500.
  6. Armstrong 1989, p. 22.
  7. Brown 1996, p. 195.
  8. Brown 1996, p. 196.
  9. Brown 1996, p. 275.
  10. Gorbachev, M. (5 September 1991). ЗАКОН Об органах государственной власти и управления Союза ССР в переходный период [Law Regarding State Governing Bodies of the USSR in Transition] (ภาษารัสเซีย). Union of Soviet Socialist Republics. สืบค้นเมื่อ 14 July 2015.
  11. 11.0 11.1 11.2 Brown 2009, p. 53.
  12. 12.0 12.1 12.2 12.3 Brown 2009, p. 59.
  13. 13.0 13.1 Service 2009, p. 323.
  14. Service 1986, pp. 231–32.
  15. Service 2005, p. 154.
  16. 16.0 16.1 Service 2009, p. 331.
  17. 17.0 17.1 17.2 17.3 17.4 17.5 Service & 2009 332.
  18. Duiker & Spielvogel 2006, p. 572.
  19. Cook 2001, p. 163.
  20. Hill 1993, p. 61.
  21. 21.0 21.1 21.2 Taubman 2003, p. 258.
  22. 22.0 22.1 22.2 22.3 22.4 22.5 22.6 Service 2009, p. 377.
  23. Service 2009, p. 376.
  24. Service 2009, p. 426.
  25. 25.0 25.1 25.2 25.3 Service 2009, p. 378.
  26. 26.0 26.1 26.2 26.3 Brown 2009, p. 402.
  27. 27.0 27.1 Service 2009, p. 428.
  28. Service 2009, p. 433.
  29. Brown 2009, p. 403.
  30. Paxton 2004, p. 234.
  31. 31.0 31.1 Service 2009, p. 434.
  32. 32.0 32.1 Europa Publications Limited 2004, p. 302.
  33. 33.0 33.1 33.2 Paxton & 2004 235.
  34. Service 2009, p. 435.
  35. 35.0 35.1 35.2 Gorbachev 1996, p. 771.
  36. Service 2009, p. 503.
  37. Paxton 2004, p. 236.
  38. Paxton 2004, p. 237.
  39. Tinggaard & Svendsen 2009, p. 460.
  40. Reim 2002, pp. 18–19.
  41. 41.0 41.1 Rappaport 1999, pp. 141 & 326.
  42. Rappaport 1999, p. 140.
  43. Rappaport 1999, p. 325.
  44. Andrew & Gordievsky 1990, pp. 423–24.
  45. Marlowe 2005, p. 140.